ปฏิรูปการศึกษา : การยกเลิกโทษจำคุกบางมาตรา ในกฎหมายสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
การเสนอให้ยกเลิกโทษจำคุกบางมาตราอันมีอยู่ในพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
พ.ศ.2546 หากฟังดูผิวเผิน อาจเข้าใจผิดได้ว่าบทความนี้เสนอให้ยกเลิก
เพื่อประโยชน์ส่วนตัวในฐานะคณาจารย์ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
ซึ่งอันที่จริงแล้วประเด็นนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวในการขอใช้เสรีภาพทางวิชาการบนบริบทของความเป็นนักวิชาการธรรมดาๆ
คนหนึ่ง ที่ต้องการนำเสนอประเด็นความแตกต่างในข้อกฎหมาย
ที่ใช้บังคับกับบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐกับเอกชนที่ว่าทำไม?
ต้องมีการบัญญัติใช้โทษทางอาญา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
โทษจำคุกกับผู้ปฏิบัติงานในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมากกว่า ม.ของรัฐ
ค่อนข้างมาก โทษทางอาญาอันได้แก่ โทษจำคุก หรือปรับ ม.เอกชนมีมากกว่า ม.รัฐ
บางแห่งจริงหรือไม่นั้น
คงต้องขออนุญาตนำเอากฎหมายของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
ซึ่งมีลักษณะของเนื้อหาและการบังคับใช้อันใกล้เคียงกับสถาบันอุดมศึกษาเอกชนในบางเรื่อง
นั่นก็คือ พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 มาศึกษาเปรียบเทียบ
พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546
กฎหมายนี้เพียงฉบับเดียวบังคับใช้กับ สถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือ
ม.เอกชนทั่วประเทศทั้งหมด เช่นเดียวกับพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ
พ.ศ.2547 กฎหมายนี้เพียงฉบับเดียวก็บังคับใช้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศทั้งหมด
มีเพียงบางแห่งที่มีกฎหมายเฉพาะเป็นของตนเองแล้ว เช่น
พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ.2558 พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ
พ.ศ.2547 มีบทกำหนดโทษเพียงสองมาตรา ซึ่งอัตราโทษในสองมาตราดังกล่าว
มีทั้งโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ
ในขณะที่พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 มีบทกำหนดโทษทางอาญา ในหมวด 9 ตั้งแต่ มาตรา 104-122 รวมทั้งสิ้น 19 มาตรา คำถามก็คือ หมวด 9 สมควรแก่เวลาในการปฏิรูปกันแล้วหรือ สองมาตรา อันเป็นบทกำหนดโทษในพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547
(กรณีศึกษา) จะมีสาระสำคัญโดยสรุปดังนี้ มาตรา 63 ผู้ใดใช้ตราสัญลักษณ์
ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ ครุยประจำตำแหน่ง เครื่องแบบ เครื่องหมาย
หรือเครื่องแต่งกายนักศึกษาของมหาวิทยาลัย โดยไม่มีสิทธิที่จะใช้
หรือแสดงด้วยประการใดๆ ว่าตนมีตำแหน่งใดในมหาวิทยาลัยหรือมีปริญญา
ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง ประกาศนียบัตรบัณฑิต อนุปริญญา
หรือประกาศนียบัตรของมหาวิทยาลัย โดยที่ตนไม่มี
ถ้าได้กระทำเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิที่จะใช้หรือมีตำแหน่งหรือมีวิทยฐานะเช่นนั้น
ต้องระวางโทษจำคุก….ไม่เกินหกเดือน
มาตรา 64 ผู้ใด (1) ปลอม หรือทำเลียนแบบซึ่งตราสัญลักษณ์
หรือเครื่องหมายของมหาวิทยาลัย หรือส่วนราชการ
หรือหน่วยงานของมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะทำเป็นสีใด หรือทำด้วยวิธีใดๆ (2)
ใช้ตราสัญลักษณ์
หรือเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานของมหาวิทยาลัยปลอม
หรือซึ่งทำเลียนแบบ หรือ (3) ใช้หรือทำให้ปรากฏซึ่งตราสัญลักษณ์
หรือเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานของมหาวิทยาลัยที่วัตถุหรือสินค้าใดๆ
โดยไม่ได้รับอนุญาตจากมหาวิทยาลัย ต้องระวางโทษจำคุก…..
บทบัญญัติในทำนองเดียวกับ มาตรา 63 และ 64 ดังกล่าวข้างต้น มีในพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 หรือไม่?
คำตอบ มีครับ มาตรา 63 เทียบได้กับ มาตรา 119
ของกฎหมายสถาบันอุดมศึกษาเอกชน มาตรา 64 เทียบได้กับ มาตรา 120
ของกฎหมายสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
เนื่องจากเรื่องราวของโทษจำคุกอันปรากฏอยู่ในหมวด 9
ของพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 มีอยู่หลายมาตรา เช่น มาตรา
104, 105, 107, 116, 117, 119, 120, 121 และ 122
จะขอยกมาเป็นตัวอย่างมาเพียงสองมาตราเท่านั้น คือ มาตรา 105 กับมาตรา
116 บางมาตราดังกล่าวข้างต้นเห็นด้วย ที่ควรคงโทษจำคุกไว้
แต่บางมาตราก็เป็นเรื่องแปลก เช่น
การกำหนดโทษจำคุกแก่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่เป็นนิติบุคคล
ซึ่งเป็นสิ่งสมมุติให้มีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดา
มาตรา 105 สถาบันอุดมศึกษาเอกชนใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา 14 วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ คิดเล่นๆ
จะเอาสถาบันอุดมศึกษาซึ่งเป็นนิติบุคคลไปจำคุกในเรือนจำได้หรือครับ?
ความในมาตรา 14 วรรคหนึ่ง ของกฎหมายสถาบันอุดมศึกษาเอกชน มีดังนี้ มาตรา
14 การเปลี่ยนชื่อหรือเปลี่ยนประเภทสถาบันอุดมศึกษา
เอกชนซึ่งได้รับใบอนุญาตตามมาตรา 13 แล้ว
ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการ
การเปลี่ยนชื่อสถาบันการศึกษาเป็นเรื่องใหญ่
จะไปเอาผิดกับตัวบุคคลหนึ่งบุคคลใดคงไม่ได้
เพราะคงทำโดยอำเภอใจคนคนเดียวไม่ได้
ในยุคนี้ หากแม้มีการเปลี่ยนจริงๆ ก็ต้องนำเข้าสภามหาวิทยาลัย
ต้องขออนุญาตต่อหน่วยงานรัฐ แต่ถ้าจะสมมุติเกิดเหตุพิเรนทร์
มีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแห่งหนึ่งแห่งใดกล้าฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตาม
การกำหนดโทษปรับจำนวนเงินสูงก็อาจเพียงพอที่จะทำให้คนไม่กล้าฝ่าฝืน
อีกมาตราหนึ่ง คือ มาตรา 116 ที่กำหนดโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน
หรือปรับไม่เกินสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
กับคณาจารย์หรือเจ้าหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ฝ่าฝืนมาตรา 79
ความโดยสรุป ในมาตรา 79 ของกฎหมายอุดมศึกษาเอกชน คือ
ห้ามมิให้………..คณาจารย์
หรือเจ้าหน้าที่ของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนใช้หรือยอมให้ผู้อื่นใช้ (1) ชื่อ
ตรา
สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนนอกเหนือไปจากที่ระบุไว้ในข้อบังคับของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
(2) สถานที่เพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
หรือการอันไม่ควรแก่กิจการของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
ขอยกตัวอย่างเพียง วงเล็บสอง
ถ้อยประโยคที่ว่า…..การอันไม่ควรแก่กิจการของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน
ความหมายแค่ไหน อย่างไร ต้องตีความอีก กฎหมายของ ม.รัฐ ก็ไม่มีทำนองนี้
แต่ถึงแม้หากมีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้น ก็สามารถดำเนินการทางวินัยได้อยู่แล้ว
แสดงว่าใช้สถานที่ผิดประเภท นี่ถึงขั้นเอาติดคุกเลยนะครับ
และดีไม่ดีอาจเป็นช่องทางให้เกิดการกลั่นแกล้งกันได้
ท้ายสุดนี้ ความผิดที่มีโทษจำคุกหรือปรับ ทั้ง 19 มาตรา อันปรากฏในหมวด 9
พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ.2546 โดยส่วนใหญ่ คือ
ความผิดเพราะกฎหมายห้าม (mala prohibita) สถาบันการศึกษา
คนที่ทำงานก็เป็นเพียงครูบาอาจารย์และเจ้าหน้าที่ การกำหนดโทษ
โดยการใช้เพียงโทษปรับในวงเงินที่สูง เพื่อการปราม
ในประเด็นที่กฎหมายต้องการห้ามทำ สำหรับสถาบันการศึกษาก็น่าจะเพียงพอแล้ว
การมองว่าเป็นของเอกชนจึงต้องนำโทษจำคุกมาปรับใช้
คงเป็นเรื่องที่ต้องคิดใหม่ทำใหม่
ในห้วงเวลาที่เราต้องการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบกันแล้วกระมังครับ
ผศ.นพดล ปกรณ์นิมิตดี
อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ไม่มีความคิดเห็น