วิกฤติสภาพภูมิอากาศ กับความตกลงปารีสที่ถูกสั่นคลอน
นับเป็นการสร้างความกังวลซ้ำเติม ให้กับนานาประเทศและชาวอเมริกันด้วยกันเป็นจำนวนมาก
เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐ
ประกาศจะนำประเทศสหรัฐถอนตัวออกจากการเข้าร่วมแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน
บนความตกลงปารีส เมื่อวันที่ 2 มิ.ย.ที่ผ่านมา
ภายหลังจากที่เคยสร้างความหวั่นวิตกมาให้
เมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยนโยบายปฏิเสธภาวะโลกร้อน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
สะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก
ได้ให้ความสำคัญกับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจภายในประเทศ
มากกว่าปัญหาภาวะโลกร้อนที่กำลังทวีความรุนแรงและส่งผลกระทบลุกลามไปทั่วโลก ทั้งนี้เพราะต้องการจะสนับสนุนอุตสาหกรรมให้ขับเคลื่อนไปบนฐานเชื้อเพลิงฟอสซิล
พร้อมกับการฟื้นฟูอุตสาหกรรมถ่านหินขึ้นมาใหม่
โดยไม่ต้องการจะทำตามที่อดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา
เคยให้สัญญาไว้ในความตกลงปารีสว่า จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้
26-28 % จากระดับการปล่อยในปี พ.ศ. 2548 ภายในปี พ.ศ. 2568
และไม่ต้องการจะให้เงินสนับสนุนกองทุนภูมิอากาศสีเขียว (Green Climate
Fund; GCF)
เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาในการจัดทำโครงการด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อลดโลกร้อนอีกต่อไปด้วย
โดยก่อนหน้านี้ ประเทศสหรัฐซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากจีน ก็เคยปฏิเสธการเข้าร่วมให้สัตยาบันในพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ซึ่งเป็นมาตรการทางกฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกขององค์การสหประชาชาติ
(มีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2548 – 2555
และขยายเวลาโดยจะหมดอายุลงอีกครั้งในปี พ.ศ. 2563) ด้วยเหตุผลเดียวกันคือ
ไม่ต้องการลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างไรก็ตาม
ต้องยอมรับว่าความพยายามแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนบนพิธีสารเกียวโต
โดยไม่มีประเทศสหรัฐเข้าร่วมนั้นยังประสบความล้มเหลวอยู่มาก เนื่องจากภายในชั้นบรรยากาศยังมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์
ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกตัวการหลักแห่งปัญหาภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากระดับความเข้มข้น 379.80 ส่วนในล้านส่วน (ppm) ในปี พ.ศ. 2548 มาเป็น
393.85 ppm ในปี พ.ศ. 2555 และมาถึง 404.21 ppm แล้วในปีที่ผ่านมา
เหตุเพราะต้องสวนกระแสกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
ที่นานาประเทศต่างยังคงมุ่งเน้นการใช้พลังงานจากฐานเชื้อเพลิงฟอสซิล
ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยใหญ่ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กันอย่างมหาศาล
เมื่อเป็นเช่นนี้ เกือบ 200 ประเทศทั่วโลกที่ร่วมลงนามรับรองความตกลงปารีส
จึงต้องเพิ่มพยายามที่จะลดและควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ไม่ให้มีปริมาณเพิ่มขึ้นถึงระดับ 450 ppm เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายของความตกลง ที่ต้องจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยบนพื้นผิวโลกไม่ให้เพิ่มสูงเกิน 2 องศาเซลเซียสจากระดับก่อนยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว
โลกก็จะเข้าสู่จุดพลิกผันที่นำไปสู่วิกฤติสภาพภูมิอากาศ
ซึ่งส่งผลอันตรายให้ภัยพิบัติอันหลากหลาย ทั้งคลื่นความร้อน ภัยแล้ง ไฟป่า
พายุ และฝนฟ้าคะนอง ทวีความรุนแรงและสร้างความเสียหายได้บ่อยครั้งขึ้น
รวมทั้งระดับน้ำทะเลก็เพิ่มสูงยิ่งขึ้น
ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลเชื่อมโยงก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย
ทั้งในด้านการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ความล้มเหลวทางการเกษตร
และการอพยพลี้ภัย ตลอดรวมถึงการแพร่ระบาดของโรคติดต่อต่าง ๆ
ซึ่งล้วนแล้วแต่เข้ามาคุกคามความอยู่รอดของมนุษย์ในทุกเชื้อชาติ
อย่างไรก็ดี
แม้ว่าเวลานี้ประเทศสหรัฐจะถอนตัวออกจากความตกลงปารีส
หากแต่สถานการณ์ภายในประเทศนั้นกลับมีความเคลื่อนไหวต่อการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน
โดยมีรัฐฮาวายเป็นรัฐแห่งแรกที่บังคับใช้กฎหมายตามความตกลงนี้ อีกทั้งยังมีการรวมตัวกันของรัฐ
เมือง และบริษัทธุรกิจจำนวนมาก
ที่จะเดินหน้าสนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด
และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศลงให้ได้ในสัดส่วนเท่ากับที่รัฐบาลชุดก่อนได้ให้สัญญาไว้ในความตกลง
ที่สำคัญอีกประการคือ
ในกระบวนการถอนตัวจากความตกลงปารีสนั้นจะใช้ระยะเวลาประมาณ 4 ปี
ดังนั้นคาดว่าการถอนตัวของประเทศสหรัฐจะแล้วเสร็จได้ก็ในเดือนพ.ย. พ.ศ.2563
จึงเป็นที่น่าติดตามว่า
นอกเหนือจากการที่ประเทศสหรัฐจะถอนตัวออกจากความตกลงปารีสในครั้งนี้แล้ว
ในภายภาคหน้าจะมีเหตุการณ์อะไรเข้ามาเป็นตัวเสริมแรงหรือสั่นคลอนความตกลงปารีสต่อไปอีกหรือไม่ และคนรุ่นต่อ
ๆ ไปจะมีโอกาสรอดพ้นหรือเผชิญกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ
ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรนั้น
ย่อมขึ้นกับแนวคิดและการลงมือปฏิบัติของคนรุ่นปัจจุบัน
ที่มีต่อปัญหาภาวะโลกร้อนนั่นเอง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์มนนภา เทพสุด
อาจารย์ประจำสำนักวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ไม่มีความคิดเห็น