กระบวนการเรียนแบบบูรณาการและการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ : พื้นฐานเพื่อการผลิตบัณฑิตให้มีทักษะแรงงานในศตวรรษที่ 21
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการต่างๆของโลกยุคโลกาภิวัตน์
มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาของประเทศเพื่อสร้างคนไทยให้เป็นคนดี
มีปัญญา มีความสุข
มีศักยภาพพร้อมที่จะแข่งขันและร่วมมืออย่างสร้างสรรค์ในเวทีโลก
และมุ่งเน้นความสำคัญทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ กระบวนการเรียนรู้
และความรับผิดชอบต่อสังคม เพื่อพัฒนาคนให้มีความสมดุล
โดยยึดหลักผู้เรียนสำคัญที่สุด
ทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพให้ความสำคัญต่อความรู้เกี่ยวกับตนเองและความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม
ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์ในเรื่องการจัดการ การบำรุงรักษา
และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน
ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทย
และการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาความรู้และทักษะด้านคณิตศาสตร์และด้านภาษาเน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง
ความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพ
ตลอดจนการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการ ผลงานวิจัย
และประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาศึกษาทั่วไป พบว่า
กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการเป็นวิธีหนึ่งที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
เป็นการเรียนรู้ที่อาศัยการเชื่อมโยงความรู้สาขาต่างๆและทักษะการเรียนรู้หลายๆทักษะเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายช่วยให้ผู้เรียนรู้จักนำความรู้ไปผสมผสานกันและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสมและถูกต้องตามปรัชญาการศึกษาแบบ
Progressivism ของ Dewey ทฤษฎีการเรียนรู้ด้าน Cognitive ที่ใช้
Constructivism Approach และทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของ Ausubel
และการถ่ายโยงการเรียนรู้ (Transfer of Learning )
กระบวนการเรียนแบบบูรณาการ ( Integrated Learning )
จากแนวทางการจัดการศึกษาและการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ปรากฏในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาตินั้น จะเห็นได้ว่าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนมากขึ้น เน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติและสามารถนำไปใช้ในการดำรงชีวิตได้ การจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อสนองตอบให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะดังกล่าวมีมากมายหลายกระบวนการ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการเป็นวิธีการหนึ่งที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และเป็นการเรียนรู้ที่อาศัยความเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ เพื่อจะได้นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ทั้งในด้านความรู้ ทักษะ / กระบวนการเรียนรู้ และคุณธรรม ตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา
จากแนวทางการจัดการศึกษาและการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ปรากฏในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาตินั้น จะเห็นได้ว่าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมโดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญแก่ผู้เรียนมากขึ้น เน้นการเรียนรู้จากการปฏิบัติและสามารถนำไปใช้ในการดำรงชีวิตได้ การจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อสนองตอบให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะดังกล่าวมีมากมายหลายกระบวนการ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการเป็นวิธีการหนึ่งที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และเป็นการเรียนรู้ที่อาศัยความเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ เพื่อจะได้นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่สมบูรณ์ทั้งในด้านความรู้ ทักษะ / กระบวนการเรียนรู้ และคุณธรรม ตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา
การบูรณาการเป็นการผสมผสานประสบการณ์การเรียนรู้และอาจจะเป็นการผสมผสานเนื้อหาวิชา
วิชาต่างๆในหมวดวิชาเดียวกันหรือต่างหมวดวิชาให้มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ตลอดจนสามารถนำประสบการณ์ต่างๆที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงมีรายละเอียดโดยสังเขป
ดังนี้
- ทฤษฎีการเรียนรู้ในด้าน Cognitive ที่ใช้ Constructivism Approach หลักสำคัญของ Constructivism คือ ผู้เรียนต้องสร้างความรู้เองโดยครูเป็นผู้ช่วย โดยจัดหาข้อมูลข่าวสารให้แก่ผู้เรียนหรือให้โอกาสผู้เรียนได้ค้นพบด้วยตนเอง และเป็นผู้ลงมือกระทำและปฏิบัติการเรียนด้วยตนเอง
- ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของ Ausubel ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Ausubel เน้นความสำคัญของการเรียนรู้อย่างมีความเข้าใจ และมีความหมาย การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนได้เชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิมที่อยู่ในสมอง
- การถ่ายโยงการเรียนรู้ ( Transfer of Learning ) การถ่ายโยงการเรียนรู้ หมายถึง การนำสิ่งที่เรียนรู้แล้วไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ การถ่ายโยงการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่สำคัญเพราะวัตถุประสงค์ของการศึกษาประการหนึ่งก็คือ การเตรียมผู้เรียนให้สามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ในอนาคตทั้งในด้านการประกอบอาชีพ และการแก้ปัญหารูปแบบต่างๆในชีวิตประจำวัน จะช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ของวิชาต่างๆ กับชีวิตจริงมากขึ้นตลอดจนมองเห็นประโยชน์ในสิ่งที่เรียนว่าสามารถนำไปใช้ได้
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ ( Learning Integration ) อาจจัดได้ 2 ลักษณะ คือ
- การบูรณาการภายในวิชา ( Intradisciplinary Instruction ) เป็นการบูรณาการที่เกิด ขึ้น ภายในขอบเขตของเนื้อหาเดียวกัน วิชาที่ใช้หลักการบูรณาการภายในวิชาเดียวกันมากที่สุด คือวิชาภาษา หรือกระบวนการทางภาษาซึ่งประกอบด้วยการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เนื่องจากมีความเกี่ยวพันกันหลายแบบนอกจากวิชาภาษาแล้วยังมีวิชาสังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ก็ใช้หลักการเชื่อมโยงภายในวิชาได้
- การบูรณาการระหว่างวิชา ( Interdisciplinary Instruction ) เป็นการเชื่อมโยงหรือรวมศาสตร์ต่างๆตั้งแต่ 2 สาขาวิชาขึ้นไปภายใต้หัวเรื่อง (Theme ) เดียวกัน เป็นการเรียนรู้โดยใช้ความรู้ความเข้าใจและทักษะในศาสตร์หรือความรู้ในวิชาต่างๆมากกว่า 1 วิชาขึ้นไป เพื่อการแก้ปัญหาหรือการแสวงหาความรู้ความเข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การเชื่อมโยงความรู้และทักษะระหว่างวิชาต่างๆ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงผิวเผินและมีลักษณะใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากที่สุด
ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการทั้ง 2 ลักษณะนั้น
สามารถจัดเป็นรูปแบบของการบูรณาการ (Models of Integration)
ได้ 4 รูปแบบ คือ
- บูรณาการแบบสอดแทรก (Infusion Instruction ) การจัดการเรียนการสอนตาม รูปแบบนี้ผู้สอนในวิชาหนึ่งสอดแทรกเนื้อหาของวิชาอื่นๆเข้าในการเรียนการสอนของตน เป็นการสอนตามแผนการสอนและประเมินผลโดยผู้สอนคนเดียว วิธีนี้ถึงแม้ว่าผู้เรียนจะเรียนจากผู้สอนคนเดียวแต่ก็สามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆได้
- บูรณาการแบบขนาน ( Parallel Instruction ) การจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบ นี้ ผู้สอนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปสอนต่างวิชากัน ต่างคนต่างสอน แต่ต้องวางแผนเพื่อสอนร่วมกัน โดยมุ่งสอนหัวเรื่อง / ความคิดรวบยอด / ปัญหาเดียวกัน ระบุสิ่งที่ทำร่วมกันและตัดสินใจร่วมกันว่าจะสอนหัวเรื่อง / ความคิดรวบยอด / ปัญหานั้นๆอย่างไร ในวิชาของแต่ละคนใครควรสอนก่อนหลังงานหรือการบ้านที่มอบหมายให้ผู้เรียนทำจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละวิชา แต่ทั้งหมดจะต้องมีหัวเรื่อง/ ความคิดรวบยอด / ปัญหาร่วมกัน การสอนแต่ละวิชาจะเสริมซึ่งกันและกันทำให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่างวิชาหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้
- บูรณาการแบบสหวิทยาการ ( Multidisciplinary Instruction ) การจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบนี้คล้ายกับบูรณาการแบบขนานกล่าวคือ ผู้สอนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป สอนต่างวิชากันมาวางแผนเพื่อสอนร่วมกัน โดยกำหนดว่าจะสอนหัวเรื่อง /ความคิดรวบยอด / ปัญหาเดียวกัน ต่างคนต่างแยกกันสอนตามแผนการสอนของตน แต่มอบหมายให้ผู้เรียนทำงานหรือโครงงานร่วมกัน ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงความรู้สาขาวิชาต่างๆเข้าด้วยกันจนสร้างชิ้นงานได้ ผู้สอนในแต่ละวิชาจะกำหนดเกณฑ์เพื่อประเมินผลชิ้นงานของผู้เรียนในส่วนวิชาที่ตนสอน
- บูรณาการแบบข้ามวิชา ( Transdisciplinary Instruction ) การจัดการเรียนการสอนรูปแบบนี้ผู้สอนที่สอนวิชาต่างๆร่วมกันวางแผน ปรึกษาหารือกำหนดหัวเรื่อง / ความคิดรวบยอด / ปัญหาเดียวกัน จัดทำแผนการสอนร่วมกัน แล้วร่วมกันสอนเป็นคณะ ( Team ) โดยดำเนินการสอนผู้เรียนกลุ่มเดียวกันมอบหมายงาน / โครงงานให้ผู้เรียนเรียนทำร่วมกัน ผู้สอนทุกวิชากำหนดเกณฑ์เพื่อประเมินผลชิ้นงานของผู้เรียนร่วมกัน การเรียนการสอนแบบบูรณาการ เป็นการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างหลากหลาย
อย่างไรก็ตามการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการสามารถสรุปได้ดังนี้
- สามารถตรวจสอบได้จากตัวชี้วัด คือ ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ใหม่ได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาสามารถนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาได้ สามารถนำความรู้ไปใช้ในการสร้างชิ้นงาน และนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
- เกิดการถ่ายโยงการเรียนรู้ ผู้เรียนเข้าใจเนื้อหาในลักษณะองค์รวมมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาและลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหาในแต่ละวิชา
- ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง โดยใช้วิธีการผสมผสานกันระหว่างสาระความรู้ กระบวนการ คุณธรรม และลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นการเพิ่มศักยภาพของผู้เรียนอย่างไม่จำกัด เพราะผู้เรียนได้ เรียนรู้วิธีการเรียนตลอดชีวิต
- ส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายรูปแบบ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งเสริมกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา
- ส่งเสริมพฤติกรรมการเรียนรู้สำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตย รู้จักการเคารพในสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นโดยคำนึงถึงความคิดเห็นและผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (Student- Centred Approach )
การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
หมายถึงการสอนที่มุ่งจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการดำรงชีวิตเหมาะสมกับความสามารถ
และความสนใจของผู้เรียนโดยให้นักเรียนมีส่วนร่วมและลงมือปฏิบัติจริงทุกขั้นตอนจนเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมีอยู่หลายลักษณะและหลายระดับโดยที่ครูผู้สอนเป็นผู้อำนวยการเรียน
ช่วยเอื้อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดยการเตรียมด้านเนื้อหา
วัสดุอุปกรณ์ สื่อการเรียนต่างๆ ให้เหมาะสมกับผู้เรียน
การเรียนการสอนที่มีนักเรียนเป็นศูนย์กลางนี้
มีความต่อเนื่องอย่างเห็นได้ชัดกับแนวโน้มในปัจจุบันเกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยตนเองซึ่งจะมีคำศัพท์บัญญัติไว้หลายคำ
เช่น Learner Autonomy, Self-directed Learner และ Learner
Independence แต่สำหรับการเรียนการสอนที่มีผู้เรียนเป็นสำคัญนี้
มุ่งที่ผู้เรียนเป็นกลุ่มมากกว่าเป็นรายบุคคล จะเห็นได้ว่า
การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญนี้ สามารถจัดในลักษณะต่างกันได้
3 รูปแบบ กล่าวคือ
แบบที่ 1 Student – centred Class
ผู้สอนจะเป็นผู้เตรียมเนื้อหา วัสดุอุปกรณ์ สื่อการเรียน
ผู้เรียนเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมการเรียนตามคำสั่งหรือคำแนะนำของผู้สอน
ส่วนมากเป็นกิจกรรมกลุ่มหรือกิจกรรมคู่กับเพื่อนโดยเน้นปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียนเป็นสำคัญ
แบบที่ 2 Learner- based Teaching
ผู้สอนเป็นผู้กระตุ้น หรือมอบหมายให้ผู้เรียนผลิตสื่อ
เนื้อหาของเรื่องที่จะเรียนขึ้นมาโดยใช้ความรู้ ประสบการณ์
และความชำนาญของผู้เรียนเป็นฐานในการสร้างสื่อ
แบบที่ 3 Learner Independence
เป็นแบบที่ผู้เรียนจะเป็นอิสระจากการเรียนในห้องเรียนปกติ
ผู้เรียนสามารถเลือกใช้สื่อที่จัดสรรไว้ในห้องศูนย์การเรียนรู้
แล้วเลือกทำงานหรือฝึกปฏิบัติตามความต้องการ ความสนใจของตน
ผู้เรียนอาจจะเรียนคนเดียว หรือเรียนเป็นคู่กับเพื่อนก็ได้
ทั้งนี้ต้องตั้งอยู่ภายใต้เงื่อนไขหรือสัญญาการเรียนระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน
ดังนั้นการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญก็คือการที่ผู้สอนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ใช้ประสบการณ์ ความรู้รอบตัว
ความชำนาญและความสนใจของผู้เรียนแต่ละคนมาร่วมกันทำกิจกรรม
มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันมีโอกาสคิดพิจารณา แสดงความคิดเห็นร่วมกัน
โดยมีผู้สอนเป็นผู้ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ เมื่อผู้เรียนมีความต้องการ
ผู้สอนจะให้ความสำคัญต่อกระบวนการคิด
กระบวนการทำงานของผู้เรียนมากกว่าที่ผู้เรียนคิดหรือสิ่งที่ผู้เรียนผลิตขึ้นมา
ซึ่งนักการศึกษากลุ่มหนึ่งมีความเชื่อว่า
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพและศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ให้ดีขึ้นและบรรลุเป้าหมายของการศึกษาแห่งชาติด้วย
ดังนั้นการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนจึงเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อการจัดการเรียนการสอน
รูปแบบวิธีสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
รูปแบบที่ 1 วิธีสอนแบบใช้บทบาทสมมุติ :
การใช้บทบาทสมมุติ เป็นกิจกรรมที่มีการกำหนดสถานการณ์สมมุติ
และบทบาทของผู้เรียนในสถานการณ์นั้นแล้วให้ผู้เรียนสวมบทบาทและแสดงบทบาทนั้นตามความรู้สึก
ประสบการณ์ เจตคติที่มีต่อบทบาทนั้นวิธีการนี้จะช่วยให้ได้มีโอกาสศึกษา
วิเคราะห์ถึงความรู้สึก และพฤติกรรมของตนเองได้อย่างลึกซึ้ง
อีกทั้งยังสามารถช่วยให้เข้าใจพฤติกรรม ความรู้สึก อารมณ์
และเหตุผลของบุคคลที่สวมบทบาทนี้ในชีวิตจริงได้
รูปแบบที่ 2 วิธีสอนแบบใช้กระบวนการเผชิญสถานการณ์ : เป็นวิธีการสอนที่มีการเชื่อมโยงการกระทำกับการคิดวิเคราะห์เข้าด้วยกัน
โดยให้ผู้เรียนได้เผชิญสถานการณ์ลักษณะต่าง ๆ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริง
ฝึกให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในคำสอนของผู้สอน
ฝึกนำข้อมูลข่าวสารด้านต่างๆมาสรุปประเด็นเพื่อประเมินค่าว่าสิ่งใดถูกต้องดีงาม
เกิดประโยชน์ สิ่งใดบกพร่อง ไม่ถูก ไม่ตรงในการตัดสินใจ
รูปแบบที่ 3 วิธีสอนแบบใช้บทเรียนสำเร็จรูป :
เป็นการลำดับประสบการณ์ที่ได้วางไว้สำหรับผู้เรียน
นำไปสู่ความสามารถโดยอาศัยหลักความสัมพันธ์ของสิ่งเร้ากับการตอบสนอง
ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ
บทเรียนสำเร็จรูปอยู่บนพื้นฐานจิตวิทยาการศึกษาและจิตวิทยาการเรียนรู้
โดยมีหลักการและทฤษฎีการเรียนรู้เข้ามาเกี่ยวข้องได้แก่ S-R Theory และ Reinforcement ของ Skinner และ Learning Theory ของ Thorndike
รูปแบบที่ 4 วิธีการสอนแบบศูนย์การเรียน : เป็นการจัดระบบห้องเรียนเพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียน
สามารถประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กิจกรรมการเรียนรู้อาศัยเนื้อหาวิชาที่จัดออกเป็นหน่วยๆแต่ละหน่วยจะมีกิจกรรม
สื่อวัสดุอุปกรณ์ และเนื้อหาวิชาที่แตกต่างกัน
ผู้เรียนจะเรียนรู้โดยการประกอบกิจกรรมจากหน่วยต่างๆตามที่กำหนดภายใต้การดูแลของผู้สอน
ศูนย์การเรียนเป็นกิจกรรมที่อยู่บนพื้นฐานหลักการ
และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการใช้สื่อประสม กระบวนการกลุ่ม
กฎแห่งความพร้อม และความแตกต่างระหว่างบุคคล
รูปแบบที่ 5 วิธีการสอนแบบใช้ชุดการสอน :
เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้รับการออกแบบและจัดไว้เป็นระบบอันประกอบด้วยจุดมุ่งหมาย
เนื้อหาและวัสดุอุปกรณ์
โดยกิจกรรมต่างๆดังกล่าวได้รับการรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบเป็นระเบียบ
เพื่อจัดเตรียมไว้ให้ผู้เรียนได้ศึกษาจากประสบการณ์ทั้งหมด
ชุดการสอนเป็นกิจกรรมที่อยู่บนพื้นฐานหลักการและทฤษฏีเกี่ยวกับการใช้สื่อประสม
และการใช้วิธีการวิเคราะห์ระบบ ( System Approach )
เน้นความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับ กิจกรรม
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน
โดยมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
รูปแบบที่ 6 วิธีการสอนแบบใช้คอมพิวเตอร์ :
เป็นการสอนที่เน้นสื่อการสอนที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์
รูปแบบที่ 7 วิธีการสอนแบบโครงการ : การจัดการเรียนการสอนแบบโครงการเป็นการจัดประสบการณ์ในการปฏิบัติงานให้ผู้เรียนเหมือนกับการทำงานในชีวิตจริง
เพื่อให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ตรง
ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา วิธีการทางวิทยาศาสตร์
ผู้เรียนจะได้ทำการทดลอง ได้พิสูจน์สิ่งต่างๆด้วยตนเอง
รู้จักหาวิธีการต่างๆมาแก้ปัญหา ผู้เรียนจะทำงานอย่างมีระบบ
รู้จักวางแผนในการทำงาน ฝึกการเป็นผู้นำผู้ตาม
ฝึกการวิเคราะห์และการประเมินผลตนเอง
รูปแบบที่ 8 วิธีสอนแบบแก้ปัญหา : เป็นวิธีสอนที่เน้นให้ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นกระบวนการโดยอาศัยแนวคิดแก้ปัญหาด้วยวิธีการนำเอาวิธีการสอนแบบนิรนัย
คือ การสอนจากกฎไปหาความจริงย่อย การรวมกระบวนการคิดทั้ง 2
แบบเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นรูปแบบวิธีสอนแบบแก้ปัญหา
ซึ่งเริ่มจากการกำหนดปัญหา วางแผนแก้ปัญหา ตั้งสมมุติฐาน
การเก็บรวบรวมข้อมูล การพิสูจน์ การวิเคราะห์ และการสรุปผล
ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนการสอนที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี
รูปแบบที่ 9 วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้เป็นกลุ่ม : เป็นการสอนที่เน้นให้
ผู้เรียนได้มีอิสระในการศึกษาหาความรู้ตามหลักประชาธิปไตย
ให้ผู้เรียนรู้จักการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม
และการศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่างๆ
รูปแบบที่ 10 วิธีสอนแบบใช้กระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ : เป็นกระบวนการขั้นตอนวิธีการหรือพฤติกรรมต่างๆที่จะช่วยให้การดำเนินงานเป็นกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพคือได้ทั้ง
ผลงานที่ดี ได้ทั้งความรู้สึกและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ร่วมงาน
ซึ่งมีลักษณะที่สำคัญคือ การยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญ ยึดการค้นพบด้วยตนเอง
เน้นกระบวนการควบคู่ไปกับผลงาน เน้นการนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
รู้จักใช้สิทธิและหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตยในการทำงาน
ยึดมติของกลุ่มและการตัดสินใจร่วมกัน
รูปแบบที่ 11 วิธีสอนแบบความคิดรวบยอด : เป็นการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้สร้างความคิดรวบยอด
ซึ่งเป็นข้อความแสดงประเภทของสรรพสิ่งตามลักษณะเฉพาะด้วยตนเอง
จากการรวบรวมข้อมูล สังเกต จำแนกประเภท
และจัดหมวดหมู่ตัวอย่างที่ผู้สอนนำเสนอ
รูปแบบที่ 12 วิธีสอนแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ : เป็นการจัดการเรียนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็กๆ
สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
มีการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกัน
ทั้งในส่วนตัวและส่วนรวม
เพื่อให้กลุ่มได้รับความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
การผลิตบัณฑิตไทยเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน
ผู้รับผิดชอบต่อการจัดการศึกษาของประเทศล้วนทราบดีว่า
การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม
การแข่งขันทางเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและภาคครัวเรือนทวีความรุนแรงทำให้สถาบันการศึกษาต้องเร่งผลิตคนเข้าสู่ตลาดแรงงานในเชิงปริมาณแต่ก็ยังเกิดปัญหาเพราะปริมาณบัณฑิตทางสังคมศาสตร์กลับเพิ่มสวนทางกับสายวิทยาศาสตร์ที่เป็นความต้องการของประทศไทย
แม้ธุรกิจอุตสาหกรรมบริการซึ่งอยู่ในสายสังคมศาสตร์จะมีการขยายตัวสูงแต่คนที่มีศักยภาพที่พร้อมจะป้อนเข้าสู่ธุรกิจนี้กลับสวนทางในเชิงที่มุ่งตัวเลขทางปริมาณมากกว่าด้านคุณภาพส่วนการผลิตคนเข้าสู่ตลาดแรงงานที่ใช้เทคโนโลยีก็ยังเป็นภาระอันหนักอึ้งเพราะเด็กไทยบางส่วนยังชอบที่จะประสบผลสำเร็จง่าย
สบาย โดยเฉพาะต้องจบเร็ว รวดเร็ว
ปัญหาด้านสังคมก็ขยายตัวตามขนาดสังคมเมืองเช่นเดียวกัน สภาวะยากจนและเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจก่อให้เกิดปัญหาที่กระทบต่อความสงบสุขของคนในสังคม การเรียนรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมและภูมิปัญญาไทยแม้มากขึ้นแต่ก็ยังไม่ปฏิบัติให้เห็นผลที่เป็นรูปธรรมชัดเจน
เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ
สถาบันการศึกษาจึงพยายามผลิตแรงงานที่สมบูรณ์ทั้งในมิติด้านร่างกายคือเป็นผู้ที่สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงมีการพัฒนาการด้านร่างกายและสติปัญญาอย่างสมบูรณ์
ตามเกณฑ์ในแต่ละช่วงวัย
สมบูรณ์ในมิติด้านจิตใจคือเป็นผู้ที่รู้จักเข้าใจตนเอง
เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น เข้าใจสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง
และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ รอบตัวได้เป็นอย่างดี
ส่วนมิติที่จำเป็นและขาดไม่ได้คือความรู้
ต้องเป็นผู้ที่สามารถรู้ลึกในแก่นสาระของวิชา
สามารถรู้รอบตัวในเชิงสหวิทยาการ และเป็นผู้ที่สามารถรู้ได้ไกล
สามารถคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตที่จะมาถึงได้ควบคู่กับมิติด้านทักษะความสามารถ
คือผู้ที่มีทักษะในด้านการคิด ทักษะการสื่อสาร ทักษะภาษาต่างประเทศ
ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะทางสังคม ทักษะการอาชีพ
ทักษะทางสุนทรียะ และทักษะการจัดการที่ดี
สำหรับวิถีการเรียนรู้นั้นบัณฑิตไทยจะต้องเรียนรู้การพึ่งตนเองให้ได้ใช้ความรู้ให้เป็น
ตัดสินใจเองอย่างมีเหตุผลทางสร้างสรรค์ ใฝ่รู้ สู้สิ่งยาก
มีพลังในการทำงาน ใส่ใจ ตั้งใจ รับผิดชอบ เตรียมตัวสร้างฐานอาชีพ ครอบครัว
เป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน ชาติ จิตสำนึกต่อสังคม
เป็นตัวอย่างที่ดีและเป็นกัลยาณมิตร
กระบวนการเรียนรู้ในยุคการผลิตแห่งศตวรรษที่ 21
การถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือการยกระดับทักษะของบุคลากรในประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริงนั้นสถาบันการศึกษาที่ผลิตคนเข้าสู่ตลาดแรงงานจะต้องปรับทักษะต่างๆที่ใส่ลงไปในหลักสูตรให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกศตวรรษที่
21
การจัดกระบวนการเรียนรู้(Pedagogy) ในศตวรรษที่ 21
จะต้องออกแบบกิจกรรมให้ผู้เรียนใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
การอำนวยความสะดวกและการเสนอแนะเพื่อการเข้าถึงองค์ความรู้ผ่าน Technology
ทำให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้ได้รวดเร็วและกว้างขวางมากขึ้นโดยลำดับ
เราเรียกกระบวนการเรียนรู้แบบนี้ว่า Active Learning
ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student-centered)
ในศตวรรษที่ 21 สถานการณ์โลกมีความแตกต่างจากศตวรรษที่ 20 และ 19
ระบบการศึกษาจึงต้องมีการพัฒนาเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะความเป็นจริง
ในประเทศสหรัฐอเมริกาแนวคิดเรื่อง “ทักษะแห่งอนาคตใหม่ :
การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21” ได้ถูกพัฒนาขึ้น โดยบริษัทแอปเปิ้ล
บริษัทไมโครซอฟ บริษัทวอล์ดิสนีย์ องค์กรวิชาชีพระดับประเทศ
และสำนักงานด้านการศึกษาของรัฐ
รวมตัวและก่อตั้งเป็นเครือข่ายองค์กรความร่วมมือเพื่อทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21 (Partnership for 21st Century Skills) หรือเรียกย่อๆว่า เครือข่าย P21
หน่วยงานเหล่านี้มีความกังวลและเห็นความจำเป็นที่เยาวชนจะต้องมีทักษะสำหรับการออกไปดำรงชีวิตและเข้าสู่โลกอาชีพที่เปลี่ยนไปจากศตวรรษที่
19 และ 20 จึงพัฒนาวิสัยทัศน์และกรอบความคิดเพื่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่
21ขึ้น ซึ่งสามารถสรุปทักษะสำคัญอย่างย่อ ๆ ที่เยาวชนควรมีคือ
ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม หรือ 3R และ 4C ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้
3 R ได้แก่ (1) Reading หรือ การอ่าน (2) Writing หรือ การเขียน และ
(3) Arithmetic หรือ คณิตศาสตร์ และ 4 C ได้แก่ (1) Critical Thinking
หรือ การคิดวิเคราะห์ (2) Communication หรือ การสื่อสาร (3)
Collaboration หรือ การร่วมมือ และ (4) Creativity หรือ ความคิดสร้างสรรค์
รวมถึงทักษะชีวิตและอาชีพและทักษะด้านสารสนเทศสื่อและเทคโนโลยี และการบริหารจัดการด้านการศึกษาแบบใหม่
ศตวรรษที่ 21
เป็นยุคแห่งการพัฒนาต่อยอดการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ใช้อำนวยความสะดวกในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ถ้าประชาชนไทยเป็นผู้ซื้อหรือผู้บริโภคแต่ฝ่ายเดียว
เราก็จะเสียดุลการค้าและที่สำคัญคือคนในชาติจะถูกชักจูงทางความคิดได้ง่าย
สำหรับการจัดกระบวนการเรียนรู้ นักการศึกษาให้ความเห็นว่าต้องเปลี่ยนจาก
Passive Learning มาเป็น Active Learning
ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ วิจารณ์ พานิช (2555: 16-21)
ได้กล่าวถึงทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ว่า
สาระวิชามีความสำคัญแต่ไม่เพียงพอสำหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษที่
21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter)
ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของผู้เรียน โดยผู้สอนจะช่วยแนะนำ
และช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนสามารถประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้
ส่วนสาระวิชาหลัก (Core Subjects) ประกอบด้วย ภาษาแม่
และภาษาสำคัญของโลก ศิลปะ คณิตศาสตร์ การปกครองและหน้าที่พลเมือง
เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์
โดยวิชาแกนหลักนี้จะนามาสู่การกำหนดเป็นกรอบแนวคิดและยุทธศาสตร์สำคัญต่อการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ
(Interdisciplinary) หรือหัวข้อสำหรับศตวรรษที่ 21
การส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหาวิชาแกนหลักและสอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เข้าไปในทุกวิชาแกนหลักสามารถทำได้ดังนี้
- ทักษะด้านการเรียนรู้และนวัตกรรม จะเป็นตัวกำหนดความพร้อมของผู้เรียนเข้าสู่โลกการทำงานที่มีความซับซ้อนมากขึ้นในปัจจุบัน ได้แก่ ความริเริ่มสร้างสรรค์และนวัตกรรม การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา และการสื่อสารและการร่วมมือ
- ทักษะด้านสารสนเทศสื่อและเทคโนโลยี เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางสื่อและเทคโนโลยีมากมาย ผู้เรียนจึงต้องมีความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและปฏิบัติงานได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ในหลายด้าน ได้แก่ ความรู้ด้านสารสนเทศความรู้เกี่ยวกับสื่อและความรู้ด้านเทคโนโลยี
- ทักษะด้านชีวิตและอาชีพ ในการดำรงชีวิตและทำงานในยุคปัจจุบันให้ประสบความสำเร็จผู้เรียนจะต้องพัฒนาทักษะชีวิตที่สำคัญ ได้แก่ ความยืดหยุ่นและการปรับตัว การริเริ่มสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม การเป็นผู้สร้างหรือผู้ผลิต (Productivity) และความรับผิดชอบเชื่อถือได้ (Accountability) และ ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (Responsibility)
แนวทางการจัดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่21ที่เน้นสมรรถนะทางสาขาวิชาชีพ
การจัดทำแนวทางการจัดทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
ที่เน้นสมรรถนะทางสาขาวิชาชีพเพื่อพัฒนาทักษะแห่งอนาคตในศตวรรษที่ 21
ยึดกรอบของระบบสนับสนุนการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ดังนี้
- ระบบมาตรฐานการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Standards)
1.1 การใช้ข้อมูลความจริงจากกระบวนการสังเกตตั้งประเด็นคำถามจากแหล่งเรียนรู้ชุมชนเชื่อมโยงไปสู่สาระการเรียนรู้รายวิชา
1.2 การบูรณาการความรู้ และความซ้ำซ้อนของเนื้อหาสาระ
1.3 การสร้างทักษะการสืบค้น รวบรวมความรู้
1.4 การสร้างความรู้ ความเข้าใจเชิงลึกมากกว่าแบบผิวเผิน
1.5 การสร้างความเชี่ยวชาญตามความถนัดและสนใจให้เกิดกับผู้เรียน
1.6 การใช้หลักการวัดประเมินผลที่มีคุณภาพระดับสูง
- ระบบการประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 (Assessment of 21st Century Skills)
2.1 สร้างความสมดุลในการประเมินผลเชิงคุณภาพ อาทิ ความรู้ ความถนัดสาขาอาชีพ ทัศนคติต่อการทำงานและอาชีพ
2.2 นำประโยชน์ของผลสะท้อนจากการปฏิบัติของผู้เรียน มาปรับปรุงการแก้ไขงาน โดยใช้เครื่องมือวัดผลตามสภาพจริงการปฏิบัติ ทัศนคติ และความรู้
2.3 ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับการทดสอบวัดและประเมินผลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่นคลังข้อสอบระบุตัวชี้วัดมาตรฐานรายวิชา ระบุระดับขั้นพฤติกรรม
2.4 สร้างและพัฒนาระบบแฟ้มสะสมงาน (Portfolios) และเส้นทางการศึกษาต่อสู่การประกอบอาชีพ (Career Path) ของผู้เรียนให้เป็นมาตรฐานและมีคุณภาพ
- ระบบหลักสูตรและการสอนในศตวรรษที่ 21 (21st Century Curriculum & Instruction)
3.1 สอนให้เกิดทักษะการเรียนในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นเชิงสหวิทยาการ (Interdisciplinary) หรือความรู้ที่ได้จากหลายสาขาวิชาประกอบกันของวิชาแกนหลัก
3.2 สร้างโอกาสที่จะประยุกต์ทักษะเชิงบูรณาการข้ามสาระเนื้อหาและสร้างระบบการเรียนรู้ที่เน้นสมรรถนะเป็นฐาน (Competency-based)
3.3 สร้างนวัตกรรมและวิธีการเรียนรู้ในเชิงบูรณาการที่มีเทคโนโลยีเป็นตัวเกื้อหนุน การเรียนรู้แบบสืบค้น และวิธีการเรียนจากการใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem-based Learning :PBL)3.4 บูรณาการแหล่งเรียนรู้ (Learning Resources) จากชุมชนเข้ามาใช้ในสถาบันการศึกษาตามกระบวนการเรียนรู้แบบ Project-Based Learning: PBL
- ระบบการพัฒนาทางวิชาชีพในศตวรรษที่ 21 (21st Century Professional Development)
4.1 ฝึกฝนทักษะความรู้ความสามารถในเชิงบูรณาการ
4.2 ใช้มิติของการสอนด้วยเทคนิควิธีการสอนที่หลากหลาย
4.3 ฝึกฝนทักษะความรู้ความสามารถในเชิงลึกเกี่ยวกับการแก้ปัญหา การคิดแบบวิจารณญาณ
4.4 สามารถวิเคราะห์ผู้เรียนได้ทั้งรูปแบบการเรียน สติปัญญา จุดอ่อน จุดแข็ง ในตัวผู้เรียนและสามารถวิจัยเชิงคุณภาพที่มุ่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน
4.5 พัฒนาความสามารถให้สูงขึ้น นำไปใช้สำหรับการกำหนดกลยุทธ์และจัดประสบการณ์ทางการเรียนได้เหมาะสมกับบริบททางการเรียนรู้
4.6 ประเมินผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างทักษะและเกิดการพัฒนาการเรียนรู้
4.7 แบ่งปันความรู้ระหว่างชุมชนทางการเรียนรู้ โดยใช้ช่องทางหลากหลายในการสื่อสารให้เกิดขึ้น
- ระบบสภาพแวดล้อมทางการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st Century Learning Environment)
5.1 สร้างสรรค์แนวปฏิบัติทางการเรียน การรับการสนับสนุนจากบุคลากรและสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่เกื้อหนุน เพื่อช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุผล
5.2 สนับสนุนทางวิชาชีพแก่ชุมชนทั้งในด้านการให้การศึกษา การมีส่วนร่วม การแบ่งปันสิ่งปฏิบัติที่เป็นเลิศระหว่างกันรวมทั้งการบูรณาการหลอมรวมทักษะหลากหลายสู่การปฏิบัติในชั้นเรียน
5.3 สร้างผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากสิ่งที่ปฏิบัติจริงตามบริบทโดยเฉพาะการเรียนแบบโครงงาน
5.4 สร้างโอกาสในการเข้าถึงสื่อเทคโนโลยี เครื่องมือหรือแหล่งการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
![]() |
รูปทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 |
ทักษะการทำงานแห่งอนาคต 2020 (Future Work Skills 2020)
สถาบันแห่งอนาคต (Institute for the Future หรือ IFTF) แห่งมหาวิทยาลัยฟีนิกซ์ มีการจัดเสวนาเรื่อง Future Work Skills 2020 เพื่อคาดการณ์ความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาได้ลงมติว่ามีทักษะสิบประการที่คนในยุคนี้และยุคหน้าต้องให้ความสนใจคือ
- ความสามารถในการทำความเข้าใจข้อมูลในระดับสูง (sense-making ) เพราะงานแรงงานส่วนใหญ่จะถูกยึดครองโดยเครื่องจักร แรงงานมนุษย์ต้องแข่งขันกันในงานที่ต้องการทักษะความคิดระดับที่สูงและซับซ้อนขึ้น
- ความสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่น (social intelligence)
- ทักษะความคิดนอกกรอบและความคิดในเชิงปรับตัว (novel & adaptive thinking)
- ความเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่าง (cross-cultural competency)
- ทักษะความคิดเชิงคอมพิวเตอร์ (computational thinking) หรือความสามารถในการย่อยข้อมูลจำนวนมหาศาล ทักษะเกี่ยวกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ธรรมดาจะกลายเป็นเรื่องล้าสมัย และทักษะด้านสถิติ การคิดหาเหตุผลจากข้อมูลจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
- ความเข้าใจในสื่อใหม่ (new-media literacy) หรือความสามารถในการเข้าใจ ประเมิน วิเคราะห์ สังเคราะห์ สื่อที่หลากหลายรอบตัว
- ความเข้าใจความแนวคิดจากหลายสาขาอาชีพ (transdisciplinarity) เพราะปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้นในโลกปัจจุบัน เราจึงต้องการบุคลากรจากหลากหลายสาขาอาชีพ พูดง่ายๆ คือต้องรู้ลึกในสาขาตนเองและรู้กว้างในสาขาอื่นไปพร้อมๆ กัน
- ความสามารถในการนำเสนอและออกแบบงาน (design mindset)
- ความสามารถในการบริหารความจำ (cognitive load management) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยจัดการจัดเก็บและนำข้อมูลมาใช้ สมองมนุษย์ไม่ได้วิวัฒนาการมาเพื่อจะทำความเข้าใจกับข้อมูลที่มีปริมาณมหาศาลและรวดเร็วอย่างในปัจจุบัน คนที่รับข้อมูลข่าวสารจนเกินพอดี หรือรับจนไม่สามารถจะรับได้ก็เกิดอาการกรดไหลย้อน คลื่นไส้ หรือมึนงงกับปริมาณข้อมูลจนสมองหยุดทำงาน
- ความสามารถในการทำงานร่วมกันในสิ่งแวดล้อมเสมือน (virtual collaboration) นั่นคือความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เข้ามาช่วยงานที่ต้องติดต่อสื่อสารระยะไกลกับทีมงานทั่วโลก
สถาบันการศึกษาไทยต้องเตรียมคนให้พร้อมเพื่อผลิตแรงงานที่มีคุณภาพในศตวรรษที่ 21 การสร้างคนในอนาคตที่มีความสามารถในการใช้และเลือกใช้แต่ไม่ตกเป็นทาสของเทคโนโลยี การเป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรมและความรับผิดชอบยิ่งสำคัญมากในการพัฒนาคนรุ่นใหม่ที่จะสร้างโลกให้น่าอยู่ รวมถึงทักษะอื่นๆ เช่น ความสามารถในการติดต่อสื่อสาร การทำความเข้าใจกับเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นชาวต่างชาติความสามารถในการทำงานเป็นทีม ความสามารถในการเลือกใช้ข้อมูล ความคิดวิเคราะห์ ความคิดเชิงวิจารณญาณ ตัดสินจากเหตุผล ไม่ใช้อคติ อารมณ์ หรือเอาพวกพ้องเป็นสำคัญ ทั้งหมดนี้ก็เป็นเป้าหมายของแรงงานในศตวรรษที่ 21 ด้วยเช่นกัน
การปลูกต้นกล้าทางปัญญาตามทักษะแห่งอนาคตใหม่ของการเรียนรู้ในศตวรรษที่21ที่เครือข่าย P21 ได้ให้แนวทางรวมถึง Future Work Skills 2020 ที่ IFTF ได้เสนอไว้นั้นน่าจะพอเป็นพื้นฐานให้สถาบันการศึกษาจะต้องสร้างให้เกิดขึ้นในเนื้อแท้และตัวตนของแรงงานในศตวรรษที่ 21 ที่จะต้องเติบโตในเชิงคุณภาพมากกว่าเชิงปริมาณถ้าทำได้สำเร็จประเทศไทยจะก้าวกระโดดและแข่งขันกับประเทศต่างๆ ได้อย่างแน่นอน
เอกสารอ้างอิง
วิจารณ์ พานิช . วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. พิมพ์ครั้งที่1. กรุงเทพฯ : มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์, 2555
วิจารณ์ พานิช . “การสร้างการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ 21”.มูลนิธิสยามกัมมาจล [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :http://www.scbfoundation.com/publishing (สืบค้นข้อมูล : 10 สิงหาคม 2557).
ผู้ช่วยศาสตราจารย์กิตติภูมิ มีประดิษฐ์
ผู้อำนวยการสำนักวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ไม่มีความคิดเห็น