การศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ รายวิชา LSM321 ด้วยวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้านกับวิธีการสอนแบบบรรยาย
บทนำ
การเรียนการสอนแบบ Lecture based
ที่เรียนกันในมหาวิทยาลัยโดยทั่วไปนั้นมีการค้นพบว่าระดับการ
เรียนรู้ของนักศึกษาที่ได้จากวิธีการบรรยายในห้องเรียนนั้นต่ำ
คือประมาณ 5 % หมายความว่าอาจารย์
สอนไป 100 % นักศึกษาได้ความรู้ติดตัวไป 5
% ในขณะที่การอ่านหนังสือด้วยตนเองที่บ้าน (นอก
เวลาเรียน)
ของนักศึกษาเกิดการเรียนรู้ประมาณ 10 % ตาม Learning Pyramid ของ National
Training Laboratories Bethel, Maine การดูโทรทัศน์ การฟังวิทยุ
สามารถทำให้เกิดการเรียนรู้ที่
มากกว่าการบรรยายในชั้นเรียน
จึงทำให้เกิดห้องเรียนกลับด้าน หรือ Flipped Classroom
ขึ้นเพื่อต้อง
การเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ให้กับนักศึกษาในชั้นเรียน
แต่เนื่องจากระบบการบรรยายในชั้นเรียน
นั้นฝังรากลึกในระบบการสอนในมหาวิทยาลัย
ทำให้การที่จะนำแนวคิดใหม่ในการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้
กระทำได้ยาก
ในการทำวิจัยในครั้งนี้เพื่อทดสอบการใช้วิธีห้องเรียนกลับด้านเปรียบเทียบกับวิธีบรรยาย
ในชั้นเรียนแบบดั้งเดิม
คำถามการวิจัย
Flipped class room สามารถช่วยในการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักศึกษาได้ดีกว่าในห้องเรียนแบบ Lecture Based หรือไม่ สำหรับห้องเรียนที่มีนักศึกษา 80 คน
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
- เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้ รายวิชา LSM321 การจัดการและควบคุมสินค้าคงคลัง ของนักศึกษาสาขาการจัดการโลจิสติกส์ วิทยาลัยโลจิสติกส์ ด้วยวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับทาง และวิธีการสอนแบบบรรยาย
- เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ รายวิชา LSM321 การจัดการและควบคุมสินค้าคงคลัง ของนักศึกษาสาขาการจัดการโลจิสติกส์ วิทยาลัยโลจิสติกส์ ด้วยวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับทาง กับวิธีการสอนแบบบรรยาย
- เพื่อศึกษาแนวทางในการนำวิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับทาง มาช่วยพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักศึกษา
- นักศึกษาที่เรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบห้องเรียนกลับทาง มีผลการเรียนรู้รายวิชา LSM321 การจัดการและควบคุมสินค้าคงคลัง หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
- นักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบบรรยาย มีผลการเรียนรู้รายวิชา LSM321 การจัดการและควบคุมสินค้าคงคลัง หลังเรียนไม่แตกต่างกับก่อนเรียน
- นักศึกษาที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบห้องเรียนกลับทางมีผลการเรียนรู้รายวิชารายวิชา LSM321 การจัดการและควบคุมสินค้าคงคลัง สูงกว่า นศ.ที่เรียนด้วยวิธีสอนแบบบรรยาย
ตัวแปรต้น
- วิธีสอนแบบห้องเรียนกลับทาง
- วิธีสอนแบบบรรยาย
- คะแนน ก่อน-หลังการสอนครั้งที่ 2
- คะแนนสอบกลางภาค
- คะแนนสอบปลายภาค
ขอบเขตการวิจัย
ประชากร คือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนในรายวิชา LSM321 ปีการศึกษา 1/2559 จำนวน 335 คน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนในรายวิชา LSM321 ปีการศึกษา 1/2559
กลุ่ม 01 เป็นกลุ่มทดลองกลุ่มที่ 1 สอนด้วยวิธีห้องเรียนกลับด้าน
กลุ่ม 02 เป็นกลุ่มทดลองกลุ่มที่ 2 สอนด้วยวิธีห้องเรียนกลับด้าน
กลุ่ม 03 เป็นกลุ่มควบคุม สอนด้วยบรรยาย
เนื้อหาการวิจัย ศึกษาพัฒนาการในการเรียนรู้ ในรายวิชา LSM321 ปีการศึกษา 1/2559ระยะเวลา 6 เดือน กันยายน พ.ศ 2559 ถึง มีนาคม พ.ศ. 2560
นิยามศัพท์เฉพาะ
Flipped classroom คือ ห้องเรียนกลับด้าน โดยให้นักศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองจากนอกเวลาเรียน และผู้สอนมีหน้าที่กระตุ้นการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน
ประโยชน์ที่ได้รับ
- ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนแบบ Lecture based เปรียบเทียบวิธีเรียนแบบ Flipped class room
- เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบ ห้องเรียนกลับด้านสำหรับชั้นเรียนที่มีนักศึกษาจำนวนมาก
จากงานของ Scott (2016) พบว่าในการใช้วิธีเรียนแบบ Flipped classroom สามารถให้ผลที่ดีได้สำหรับวิชาคำนวณอย่าง Calculus เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับการสอนแบบ Lecture based Julia (2016) ได้นำ Flipped classroom มาประยุกต์ใช้กับห้องเรียนที่มีนักศึกษาจำนวนมากพบว่าสามารถให้ผลที่ดีต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
ระเบียบวิธีวิจัย
ขั้นตอนในการดำเนินการในการวิจัย
แบบแผนการวิจัย เชิงทดลอง ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยในชั้นเรียน เพื่อศึกษากระบวนการเรียนรู้ของนักศึกษาที่เรียนในรายวิชา LSM321 ประจำภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 โดยเป็นการเปรียบเทียบ วิธีการสอนแบบห้องเรียนกลับด้าน (Flipped classroom) จำนวน 1 กลุ่มเรียน กับวิธีการสอนแบบบรรยายในชั้นเรียน (Lecture based) จำนวน 1 กลุ่มเรียนซึ่งเป็นกลุ่มควบคุม
แบบแผนการวิจัย
Hypothesis test
H0: µ1 = µ2
H1: µ1 > µ2
วิธีในการวัดผล วัดจากการเรียนรู้ของนักศึกษาในห้องจากการทดสอบโดยแบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน การสอบกลางภาค การสอบปลายภาค เพื่อนำมาเปรียบเทียบผลระหว่าง 2 กลุ่มตัวอย่าง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชาการที่ใช้ในการวิจัย คือนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชา LSM321 จำนวน 160 คน ประกอบด้วย
กลุ่มตัวอย่างที่ 1 คือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนวิชา LSM321 กลุ่มเรียนที่ 01 ภาคการศึกษาที่ 1/2559 จำนวน 80 คน (สอนแบบ Lecture based)
กลุ่มตัวอย่างที่ 2 คือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนวิชา LSM321 กลุ่มเรียนที่ 02 ภาคการศึกษาที่ 1/2559 จำนวน 80 คน (สอนแบบ Flipped classroom)
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
- ข้อสอบ Pre-test, Post-test, ข้อสอบกลางภาค, ข้อสอบปลายภาค
ข้อสอบกลางภาคใช้ข้อสอบชุดเดียวกันทั้ง 2 กลุ่มเรียน
ข้อสอบปลายภาคใช้ข้อสอบชุดเดียวกันในการสอบทั้ง 2 กลุ่มเรียน
เอกสารประกอบการเรียนการสอน
วีดีทัศน์สำหรับนักศึกษากลุ่มเรียนที่ 2
ข้อสอบปลายภาคใช้ข้อสอบชุดเดียวกันในการสอบทั้ง 2 กลุ่มเรียน
เอกสารประกอบการเรียนการสอน
วีดีทัศน์สำหรับนักศึกษากลุ่มเรียนที่ 2
![]() |
รูปที่ 1 แสดงถึงการนำวิดีโอช่วยเป็นสื่อการสอน |
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การรวบรวมข้อมูล ใช้ Facebook group สำหรับให้นักศึกษาส่งงานโดยให้นักศึกษาเขียนลงในสมุดจดของนักศึกษา (เพื่อเก็บงานที่ทำไว้ทบทวนตอนสอบ) แล้วให้ถ่ายรูปงาน Upload ลงใน Event ที่สร้างใน Group ดังรูปที่.2 และ 3. โดยการส่งงานจะต้องส่งหลังจากคาบเรียนไม่เกิน 1 ชั่วโมง โดยสามารถกำหนดระยะเวลาในการส่งได้ใน Event ของ Facebook ส่วนการเฉลยจะทำในสัปดาห์ถัดไปและให้นักศึกษาจดเพิ่มเติมต่อจากในสัปดาห์ก่อนหน้า
![]() |
รูปที่ 2 แสดงถึงการสร้าง Event ใน Facebook group |
![]() |
รูปที่ 3 รูปแบบในการส่งงาน |
![]() |
รูปที่ 4 แสดงถึง Facebook group ที่เป็น Closed Group |
ข้อมูลการกระจายของคะแนนกลางภาคของกลุ่มเรียนที่ 1 คะแนนเต็ม 20 คะแนนอยู่แนวนอน ส่วนแนวตั้งเป็นความถี่ของนักศึกษาที่ได้คะแนน
![]() |
รูปที่ 5.แสดงถึงการกระจายคะแนนสอบกลางภาคของกลุ่มเรียนที่1 |
Mean | 10.09195 |
Standard deviation | 2.098627 |
Skew | -0.21897 |
Median | 10 |
Kurtosis | -0.13392 |
![]() |
รูปที่.6.แสดงถึงการกระจายคะแนนสอบกลางภาคของกลุ่มเรียนที่ 2 |
Mean | 10.08152 |
Standard deviation | 1.853534 |
Skew | 0.049595 |
Median | 10 |
Kurtosis | -0.83069 |
![]() |
รูปที่.7.แสดงถึงการกระจายคะแนนสอบปลายภาคของกลุ่มเรียนที่ 1 |
Mean | 47.11494 |
Standard deviation | 9.98886 |
Skew | 0.127927 |
Median | 47 |
Kurtosis | -0.51924 |
![]() |
รูปที่.8.แสดงถึงการกระจายคะแนนสอบปลายภาคของกลุ่มเรียนที่2 |
Mean | 46.48913 |
Standard deviation | 8.870862 |
Skew | 92 |
Median | 0.49351 |
Kurtosis | 46 |

ค่าผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของนักเรียนกลุ่มเรียนที่ 1 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 47.115
ค่าผลสัมฤทธิ์ในการเรียนของนักเรียนกลุ่มเรียนที่ 2 มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 46.489
Hypothesis test H0: µ1 = µ2
H1: µ1 > µ2
แทนค่าในสูตร

ที่ α = 0.05 Z จากการคำนวณ > Z จากการเปิดตาราง ทำให้ยอมรับ H1 นั่นหมายความว่า โดยเฉลี่ยระดับคะแนนของนักเรียนในกลุ่มเรียนที่ 1 มีระดับผลสัมฤทธิ์สูงกว่านักเรียนในกลุ่มเรียนที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
สรุป จากการทดลองในกลุ่มเรียนทั้ง 2 กลุ่มพบว่าค่าระดับคะแนนโดยเฉลี่ยของการใช้วิธีห้องเรียนกลับด้าน (Flipped Classroom) นั้นให้ผลสัมฤทธิ์ ที่ดีกว่าวิธีสอนแบบบรรยายในห้องเรียน (Lecture Based) เนื่องจากในการเรียนแบบห้องเรียนกลับด้านนั้นมีทางเลือกให้นักศึกษาที่หลากหลายได้แก่การเรียนด้วยตนเองโดยมีคลิปวิดีโอ ให้เรียนรู้เมื่อมีความต้องการที่จะเรียนรู้ เนื่องจากช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเรียนรู้คือช่วงเวลาที่อยากเรียน แต่ถ้าอยากเรียนในช่วงเวลาที่ไม่มีการเรียนการสอน เช่น ตอนกลางคืน หรือในวันหยุด สื่อ วิดีโอที่สามารถดู ออนไลน์ สามารถดูได้จากโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์อื่น ทำให้การเรียนรู้ไม่จำเป็นที่ต้องเรียนจากภายในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว รวมไปถึงรูปแบบในการเรียนรู้จากวิดีโอนั้นเมื่อต้องการที่จะหยุด หรือ ดูซ้ำในประเด็นที่ไม่เข้าใจก็สามารถ ทำได้ แต่การกระทำข้างต้นนั้นไม่สามารถทำได้ในห้องเรียน ทำให้นักศึกษาที่เรียนในห้องพร้อมกับมีการดูสื่อการเรียนรู้อื่นควบคู่กัน ทำให้มีความได้เปรียบนักศึกษาที่ต้องเรียนรู้จากในห้องเรียน หรือ จากตำราเพียงอย่างเดียว
รายการอ้างอิง
Julia E. Rodriguez, (2016) “A massively flipped class: Designing and implementing active learning information literacy instruction for a large enrollment course”, Reference Services Review, Vol. 44 Iss: 1, pp.4 – 20
Scott, C. E., Linda E, Debra, L. E., (2016) “A comparison between flipped and lecture-based instruction in the calculus classroom”, Journal of Applied Research in Higher Education, Vol. 8 Iss: 2, pp.252 – 264.
Vygotsky, L. (1978). “Interaction between learning and development” , Mind and Society, pp.79-91.
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อัศวิน วงศ์วิวัฒน์
อาจารย์ประจำวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ไม่มีความคิดเห็น