การศึกษาพฤติกรรมกับความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อการสอนวิชาการวิจัยทางการสื่อสาร
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
ความสำคัญของการวิจัยทางการสื่อสาร
ถือเป็นหัวใจหลักที่สำคัญยิ่งในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งถือว่าเป็นการถ่ายทอด
และแลกเปลี่ยนข้อเท็จจริง ความรู้สึก ความคิด หรือการกระทำต่างๆ
โดยมีเจตนาที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคล โดยพฤติกรรมในที่นี้
หมายถึงการเปลี่ยนความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติและพฤติกรรมที่แสดงออกมา
โดยการสื่อสารเป็นกิจกรรมที่ไม่หยุดอยู่นิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
และมีความยุ่งยาก สลับซับซ้อน
โดยผลของการศึกษาจะเป็นประโยชน์ในการนำกระบวนการของการสื่อสาร
และปัจจัยต่างๆ ไปปรับใช้ทางการสื่อสารกับข้อมูลต่างๆ ทางการสื่อสารได้
การสื่อสารนี้เกิดจากแนวความคิดที่ว่า การสื่อสารเป็นกระบวนการ
หรือการแลกเปลี่ยนกันและกัน โดยสิ่งสำคัญ คือ
ผู้สื่อสารทําหน้าที่เป็นทั้งผู้ส่ง
และผู้รับข่าวสารในขณะเดียวกันไม่อาจระบุได้ว่าการสื่อสารเริ่มต้น
และสิ้นสุดที่จุดใด เพราะถือว่า การสื่อสารมีลักษณะเป็นวงกลม
และไม่มีที่สิ้นสุด
แต่จะทำอย่างไรให้เกิดการนำกระบวนการสื่อสารมาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ
ได้มากที่สุด
เนื่องจากวิชาการวิจัยทางการสื่อสาร
เป็นวิชาพื้นฐานที่สำคัญวิชาหนึ่งของหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต
ดังนั้นวิชาการวิจัยทางการสื่อสารจึงถูกกำหนดไว้ในหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต ของคณะนิเทศศาสตร์
ทำให้มีนักศึกษาที่ทำ
การศึกษาในรายวิชานี้เป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่มีการศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับสื่อการเรียนการสอน และความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อการสอนวิชาการวิจัยทางการสื่อสาร จึงไม่ทราบพฤติกรรมและความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการเรียนการสอน
ดังนั้น จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาพฤติกรรม
และความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อการสอนวิชาการวิจัยทางการสื่อสาร
ซึ่งการศึกษาในครั้งนี้จะเป็นแนวทางให้ผู้บริหาร คณาจารย์
และผู้ที่เกี่ยวข้องได้นำไปพัฒนาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอน
ในรายวิชาการวิจัยทางการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นรวมทั้งให้ได้บัณฑิตที่มีคุณภาพต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
- เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อการเรียนการสอนวิชาการวิจัยทางการสื่อสาร
- เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อการเรียนการสอนวิชาการวิจัยทางการสื่อสาร
ประโยชน์ที่ได้รับ
- ผลการวิจัยทำให้ทราบถึงพฤติกรรมในด้านต่างๆ รวมถึงความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการสอนวิชาการวิจัยทางการสื่อสาร
- ผลการวิจัยในครั้งนี้สามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน นำไปพัฒนา และปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรของวิชาการวิจัยทางการสื่อสาร
กรอบแนวคิดและทฤษฎี
ทฤษฎีพฤติกรรมของผู้เรียน “พฤติกรรม”
เป็นสื่อระบุถึงการกระทำอันเนื่องมาจากการกระตุ้นหรือถูกจูงใจจากสิ่งเร้าต่างๆ ซึ่งเมื่อศึกษาให้ละเอียดแล้วการกระทำหรือพฤติกรรมที่เราได้เห็นหรือได้สัมผัสรับรู้นั้น
ส่วนหนึ่งของการกระทำเป็นการกลั่นกรองตกแต่ง และตั้งใจที่จะทำ
ให้เกิดขึ้นมีพฤติกรรมอยู่มากทีเดียวที่แม้จะทำด้วยสาเหตุหรือจุดมุ่งหมายเดียวกันแต่ลักษณะท่าทีกริยาอาจจะมีความแตกต่างกันไปเมื่อเปลี่ยนบุคคล
เปลี่ยนเวลา
หรือเปลี่ยนสถานที่และสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องความแตกต่างที่เกิดขึ้นนี้
เป็นเพราะการกระทำในแต่ละคราว(อยู่ในสภาพร่างกายที่เป็นปกติ)
จะต้องผ่านกระบวนการคิดและการตัดสินใจ ซึ่งประกอบด้วยอารมณ์
และความรู้สึกของผู้กระทำพฤติกรรมนั้นๆ จึงทำให้พฤติกรรมของแต่ละคนและพฤติกรรมแต่ละคราวเปลี่ยนแปลง หรือปรับเปลี่ยนไปตามเรื่องที่เกี่ยวข้องเสมอ (สุรพล พะยอมแย้ม, 2545)
การปรับพฤติกรรมในห้องเรียนในสภาพการณ์จัดการเรียนการสอน
ครูมีอิทธิพลในการแก้ไขพฤติกรรมมาก โดยเฉพาะการให้แรงเสริม
ทั้งการให้แรงเสริมบวก และวิธีการอื่นๆ แม้แต่การลงโทษสถานเบา
และการให้แรงเสริมทางสังคม แฮริ่งและฟิลลิปส์ (Haring & Phillips,
1972) กล่าวว่า
ครูสามารถให้แรงเสริมในห้องเรียนได้ด้วยการให้ความสนใจและให้คำชมเชยซึ่งเป็นแรงเสริมที่มีประสิทธิภาพมากสำหรับแรงเสริมทางสังคม
เป็นแรงเสริมที่นำมาใช้ได้ง่ายสะดวกและรวดเร็ว
ออลท์แมน และลินตัว (สมพร สุทัศนีย์, 2544) ได้ให้เหตุผล 3 ประการว่าครูผู้สอนเหมาะสมสำหรับเป็นผู้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเด็กเพราะ 1. สภาพห้องเรียนเป็นที่ที่เรามองเห็นได้ทั้งพฤติกรรมทางสังคมและพฤติกรรมทางวิชาการ 2. ในสภาพการเรียนเด็กต้องตั้งใจฟังครูอยู่แล้ว 3. ในหลักสูตรมีเนื้อหาบางส่วนที่เกี่ยวกับการแก้ไขพฤติกรรมของเด็กนอกจากนี้ในบรรยากาศของห้องเรียนนั้นสามารถปรับพฤติกรรมของเด็กได้หลายอย่าง และสามารถทำได้รวดเร็ว ทันเหตุการณ์
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
อัญชลี พริ้มพรายและคณะ (2548, หน้า 18-19)
ได้ศึกษาวิจัยเรื่องความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อ
คุณภาพการสอนและปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้ของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราชโดยศึกษา4
ด้าน คือ ด้านบุคคลด้านสถานที่ด้านสื่อวัสดุด้านงบประมาณผลการวิจัยพบว่า
1. ด้านบุคคล พบว่านักศึกษามีความพึงพอใจด้านบุคคลอยู่ในระดับมาก
และระดับความพึงพอใจของ
นักศึกษาที่มีต่อคุณภาพการเรียนการสอนของอาจารย์ทุกข้ออยู่ในระดับมากเช่นเดียวกัน
โดยทั้งสองด้านนี้จะมี ความสอดคล้องกัน คือ
วุฒิการศึกษาของอาจารย์ผู้สอนนั้นจะส่งผลให้อาจารย์มีความรู้เรื่องเทคนิควิธีการสอน
มีการชี้แจงแผนการสอนอธิบายจุดประสงค์การเรียน
และเกณฑ์การวัดผลประเมินผลให้นักศึกษาทราบมีเทคนิคการสอนและกิจกรรมการเรียนที่หลากหลายมีความเหมาะสมกับเนื้อหารวมทั้งพึงพอใจในบุคลิกของอาจารย์ผู้สอน
2. ด้านสถานที่
พบว่านักศึกษามีความพึงพอใจด้านสถานที่ในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลางนักศึกษาที่มีความพึงพอใจมากกับสถานที่ตั้งของอาคาร
และจำนวนของเก้าอี้ในห้องเรียน 3. ด้านสื่อวัสดุ
พบว่านักศึกษามีความพึงพอใจด้านสื่อวัสดุอยู่ในระดับปานกลางสิ่งที่นักศึกษาพึงพอใจมากที่สุดคือความทันสมัยของสื่อที่ใช้ทำการสอนส่วนที่นักศึกษามีความพึงพอใจในลำดับสุดท้าย
คือ ความเพียงพอของ เครื่องจักรต่อจำนวนนักศึกษา 4. ด้านงบประมาณ
พบว่านักศึกษามีความพึงพอใจด้านงบประมาณทุกข้ออยู่ในระดับปานกลางระดับความพึงพอใจระดับที่ต่ำที่สุดได้แก่การแจ้งรายละเอียดของยอดงบประมาณต่างๆ
ต่อนักศึกษา
จากที่ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถสรุปประเด็นที่สำคัญ
และเห็นความจำเป็นที่จะต้องสำรวจความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรของภาควิชาสถิติ
ใน 5 ด้านดังนี้ 1. ด้านรายวิชาในหลักสูตร 2. ด้านผู้สอน 3.
ด้านวิธีการสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน 4.
ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนการสอน 5. ด้านปัจจัยสนับสนุนการเรียนการสอน
![]() |
ภาพประกอบที่ 1 กรอบแนวคิดงานวิจัย |
ขอบเขตงานวิจัย
ประชากร คือ นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาการวิจัยทางการสื่อสาร
มหาวิทยาลัยศรีปทุม ปีการศึกษา 2/2559 จำนวน 156 คน และกลุ่มตัวอย่าง คือ
นักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาการวิจัยทางการสื่อสาร
มหาวิทยาลัยศรีปทุม ปีการศึกษา 2/2559 กลุ่มเรียน 01 และกลุ่มเรียน 02
โดยทำการสุ่มอย่างง่าย (Sample Random Sampling) จำนวน 80 คน
การรวบรวมข้อมูล
ในขั้นตอนการเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บข้อมูลด้วยตนเองทุกขั้นตอน
โดยผู้วิจัยซึ่งเป็นอาจารย์ผู้สอนประจำวิชา จากจากแบบสอบถาม และ
แบบสังเกตพฤติกรรม โดยกำหนดวิธีการและเงื่อนไขในการตอบคำถามลงในแบบสอบถาม
และทำการชี้แจงด้วยวาจา เพื่อให้นักศึกษาเกิดความเข้าใจในเครื่องมือ
และเป็นไปด้วยความถูกต้องสมบูรณ์ ครบถ้วน
และนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดจากแบบสอบถามมาทำการวิเคราะห์ข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้มีทั้งหมด 2 ชนิด แบ่งออกเป็นแบบสอบถาม และแบบสังเกตพฤติกรรม ได้แก่ แบบสอบถาม ดังนี้
ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
ตอนที่ 2 ความพึงพอใจของนักศึกษา
ตอนที่ 2 ความพึงพอใจของนักศึกษา
- ด้านสื่อและอุปกรณ์ในการเรียนการสอน
- ด้านเทคนิคการสอนของผู้สอน
- ด้านพฤติกรรมการเรียนของเพื่อนร่วมชั้น
- ด้านความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนการสอน
แบบสังเกตพฤติกรรม ได้แก่ การเข้าชั้นเรียน ตรงเวลา การส่งงาน การมีส่วนร่วมในชั้นเรียน การปรับสื่อการสอน การเสริมแรง
การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ
การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง
และการวิเคราะห์เพื่อตอบคำถามการวิจัย คือ สถิติเชิงพรรณา (Description
Statistics) สำหรับวิเคราะห์เกี่ยวกับข้อมูลเบื้องต้นของนักศึกษา
โดยการแสดงการวัดในรูปค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
และการสรุปพฤติกรรมจากการสังเกต
ผลการศึกษา
การศึกษาพฤติกรรมของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่มีต่อการสอน วิชาการวิจัยทางการสื่อสาร ได้แก่
ด้านพฤติกรรมในการเข้าชั้นเรียน เน้นให้มีการทำกิจกรรมกลุ่ม
โดยสมาชิกทุกคนในกลุ่มต้องมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกันการค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ
จึงทำให้สมาชิกในกลุ่มแบ่งหน้าที่การทำงานอย่างเป็นระบบ
และคอยช่วยเหลือกันในทีมชองตนเอง
ด้านตรงเวลา
โดยแจ้งให้ผู้เรียนทราบตั้งแต่ครั้งแรกว่าจะมีเกณฑ์การให้คะแนนในแต่ละครั้ง
หากมาสายเกินกว่า 15 นาที จะต้องถูกหัก 0.5 คะแนน หากขาดเรียน -1 คะแนน
ทำให้นักศึกษามีแรงจูงใจในการเข้าชั้นเรียนตรงเวลามากขึ้น
ด้านการส่งงาน จะมีการบันทึกการส่งงานกลุ่ม หรืองานเดี่ยวทุกครั้ง
กลุ่มใดส่งงานตรงตามเวลาที่กำหนด และมีความคืบหน้าไปมากน้อยเพียงใด
พร้อมแจ้งเกณฑ์คะแนนงานละชิ้นงาน ต่อการส่งงานทุกครั้ง
ด้านการมีส่วนร่วมในชั้นเรียน
ผู้สอนจะให้นักศึกษาจดบันทึกเนื้อหาการเรียนของหัวข้อที่มีการบรรยายในแต่ละสัปดาห์เป็นรายบุคคล
พร้อมรวบรวมส่งท้ายคาบเป็นรายกลุ่มเพื่อง่ายต่อการจัดเก็บ
และแจกเอกสารคืนเพื่อไปอ่านก่อนการสอบปลายภาค
ด้านการปรับสื่อการสอน
เนื่องจากรายวิชาวิจัยทางการสื่อสารมีเนื้อหาที่ต้องทำความเข้าใจ
และรายละเอียดค่อนข้างมาก ทำให้นักศึกษาเกิดความเครียดในการเรียน
ผู้สอนจึงต้องปรับเพิ่มในส่วนของรูปภาพ
พร้อมวีดีโอประกอบการบรรยายให้เกิดความน่าสนใจมากขึ้นและให้นักศึกษามีส่วนร่วมในการผลิตรายการหรือหนังสั้น
เกี่ยวกับหัวข้อการวิจัยทางการสื่อสารก่อนที่จะสอนในแต่ละสัปดาห์
ตามโจทย์ที่มอบหมาย โดยจะเปิดให้เพื่อนในชั้นเรียนรับชมสัปดาห์ละ 1 หัวข้อ
เพื่อเป็นการทำความเข้าใจเนื้อหาเบื้องต้นก่อนการรับฟังการบรรยายจากครูผู้สอน
และตั้งคำถามเพิ่มเติมในส่วนที่เกิดข้อสงสัย หรือไม่เข้าใจได้
ด้านการเสริมแรง ท้ายคาบเรียนจะมีกิจกรรมถาม-ตอบคำถาม
จากเนื้อหาที่ได้ศึกษาไปแล้ว เพื่อเป็นการทบทวนความจำ
หากท่านใดตอบถูกจะได้คะแนนเสริมในชั้นเรียน โดยผู้มีสิทธิ์ตอบคำถามท้ายคาบ
โดยใช้วิธีการยกมือเร็วที่สุดจะเป็นผู้ตอบคำถามเป็นคนแรก
หากถูกต้องจะได้รับ +1 คะแนนพิเศษ เป็นการเสริมแรงทำให้ผู้เรียนจดบันทึก
เพื่อรอตอบคำถามท้ายคาบ
ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 4.50 ขึ้นไป หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด
ค่าเฉลี่ย 3.50–4.49 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับมาก
ค่าเฉลี่ย 2.50–3.49 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.50–2.49 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับน้อย
ค่าเฉลี่ยต่ากว่า 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด
ค่าเฉลี่ย 3.50–4.49 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับมาก
ค่าเฉลี่ย 2.50–3.49 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.50–2.49 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับน้อย
ค่าเฉลี่ยต่ากว่า 1.50 หมายถึง มีความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด
นักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย
คิดเป็นร้อยละ 53 อายุระหว่าง 18-20 ปี คิดเป็นร้อยละ 48.5
กำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 2
โดยส่วนใหญ่ศึกษาอยู่ในสาขาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ รองลงมาคือสาขาภาพยนตร์ และสื่อดิจิตอล
และสาขาโฆษณาและประชาสัมพันธ์ยุคดิจิทัล
มีคะแนนเฉลี่ยสะสมมากที่สุดอยู่ระหว่าง 2.01-2.50
โดยนักศึกษามีความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนการสอน ทุกด้านอยู่ในระดับมาก
(x-bar= 4.44) รองลงมาคือพฤติกรรมการเรียนของเพื่อนร่วมชั้นเรียน (x-bar =4.38) และเทคนิคการสอนของอาจารย์ผู้สอน (x-bar= 4.37) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทุกด้าน โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้
ด้านความพึงพอใจในการเรียน โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทุกด้าน
โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ พฤติกรรมการเรียนของเพื่อนร่วมห้อง
(x-bar= 4.38) พึงพอใจต่อรายวิชาที่ศึกษา (x-bar= 4.50) และพึงพอใจต่ออาจารย์ผู้สอน (x-bar= 4.49) ด้านพฤติกรรมการเรียนของเพื่อนร่วมชั้นเรียน
มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทุกด้านโดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้
ความพึงพอใจต่อมารยาทในการเรียน (x-bar= 4.50) พึงพอใจต่อความกระตือรือร้นในการเรียน (x-bar=4.38) และพึงพอใจต่อการตรงต่อเวลา (x-bar= 4.38) ด้านการสอนของอาจารย์ผู้สอน มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากทุกด้าน
โดยเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้
ความรู้ความเชี่ยวชาญของอาจารย์ผู้สอน (x-bar= 4.54) มีเทคนิคที่ดีในการสอน (x-bar=4.51) และพึงพอใจต่อความเหมาะสมในการแต่งกายของอาจารย์ผู้สอน (x-bar= 4.31)
อภิปรายผล
นักศึกษาในระดับปริญญาตรีที่มีสาขาต่างกัน
มีความคิดเห็นต่อการเรียนการสอนวิชาการวิจัยทางการสื่อสารแตกต่างกันในภาพรวม
สอดคล้องกับทฤษฎีพฤติกรรมของผู้เรียน “พฤติกรรม”
เป็นสื่อระบุถึงการกระทำอันเนื่องมาจากการกระตุ้น
หรือถูกจูงใจจากสิ่งเร้าต่างๆ
ซึ่งเมื่อศึกษาให้ละเอียดแล้วการกระทำหรือพฤติกรรมที่เราได้เห็นหรือได้สัมผัสรับรู้นั้น
ส่วนหนึ่งของการกระทำเป็นการกลั่นกรองตกแต่งและตั้งใจที่จะทำให้เกิดขึ้น
มีพฤติกรรมอยู่มากทีเดียวที่แม้จะทำด้วยสาเหตุ หรือ
จุดมุ่งหมายเดียวกันแต่ลักษณะท่าทีกริยาอาจจะมีความแตกต่างกันไปเมื่อเปลี่ยนบุคคล
เปลี่ยนเวลา
หรือเปลี่ยนสถานที่และสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องความแตกต่างที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะการกระทำในแต่ละครั้งแต่ละครา
(เมื่ออยู่ในสภาพร่างกายที่เป็นปกติ) จะต้องผ่านกระบวนการคิด
และการตัดสินใจอันประกอบด้วยอารมณ์และความรู้สึกของผู้กระทำพฤติกรรมนั้นๆ
จึงทำให้พฤติกรรมของแต่ละคน
และพฤติกรรมแต่ละคราวอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยนไป
ตามเรื่องที่เกี่ยวข้องเสมอ
และได้ทำการสอบถามนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่คณะนิเทศศาสตร์
มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการวิจัยทางการสื่อสารแตกต่างกัน
อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ สารภี จุลแก้ว
(2552) ได้ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
ที่มีต่อการเรียนการสอนโปรแกรมวิชาคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ
0.01 และงานวิจัยของอัญชลี พริ้มพรายและคณะ (2548, หน้า 18-19) ได้ศึกษา
ได้ศึกษาวิจัยเรื่องความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อคุณภาพการสอน
และปัจจัยสนับสนุนการเรียนรู้ของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยราชภัฎ
นครศรีธรรมราชโดยศึกษา 4
ด้านคือด้านบุคคลด้านสถานที่ด้านสื่อวัสดุด้านงบประมาณผลการวิจัย พบว่า
ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรของภาควิชาสถิติ
ใน 5 ด้านดังนี้ 1.ด้านรายวิชาในหลักสูตร 2.ด้านผู้สอน
3.ด้านวิธีการสอนและกิจกรรมการเรียนการสอน
4.ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนการสอน
5.ด้านปัจจัยสนับสนุนการเรียนการสอน
ข้อเสนอแนะในงานวิจัย
- ด้านสื่อในการเรียนการสอน มีความพึงพอใจน้อยที่สุด ทั้งนี้ อาจารย์ผู้สอนควรมีการดาวน์โหลดไฟล์วีดีโอตัวอย่างการสอนมาก่อน เพราะบางวันอาจติดขัด เรื่องการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ต หรืออินเทอร์เน็ตโหลดช้า ก็จะทำให้การรับชมวีดีโอขาดตอน หรือไม่สามารถรับชมได้
- ด้านอุปกรณ์ในการเรียนการสอนอาจารย์ผู้สอนควรตรวจเช็คสายเสียง และอุปกรณ์โปรเจคเตอร์ล่วงหน้า เพื่อความพร้อมในการสอน
ข้อเสนอแนะในการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์
ควรทำการศึกษาเฉพาะรายที่ขาดเรียนมาก เพื่อการจัดการเรียนการสอนให้มีความสอดคล้อง และเหมาะสมกับนักศึกษาต่อไป
เอกสารอ้างอิง
กาญจนา เกียรติประวัติ. (2534).วิธีสอนทั่วไปและทักษะการสอนกรุงเทพมหานคร: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.
นพคุณ นิศามณี. (2547). จิตวิทยาอุตสาหกรรม. กรุงเทพฯ :สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.
บัญชา แสนทวี. (2542). การวัดและประเมินผลระดับชั้นเรียน.นนทบุรี:สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์. (2551). จิตวิทยาอุตสาหกรรม. กรุงเทพฯ :ศูนย์หนังสือเสริมกรุงเทพฯ.
รัตนา พรมภาพ. (2550). ความพึงพอใจของนิสิตที่มีต่อการจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรของภาควิชา การศึกษา. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร.
วินัย เพชรช่วย. (2551). พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน. กรุงเทพฯ : สถาบันราชภัฎสวนสุนันทา.
สารภี จุลแก้ว. (2552). ความพึงพอใจของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มีต่อการเรียนการสอนโปรแกรมวิชาคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา. คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา.
อัญชลี พริ้มพรายและคณะ. (2548). ความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อคุณภาพการสอนและปัจจัยสนับสนุนการ เรียนรู้ของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช : คณะเทคโนโลยี อุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช.
อาจารย์บุณยนุช สุขทาพจน์
อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม
ไม่มีความคิดเห็น